กลุ่มการลงทุน MGX ที่ตั้งอยู่ในอาบูดาบี วางแผนที่จะขยายกิจการในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างมาก โดยมีเป้าหมายระดมทุนจากภายนอกถึง 25 พันล้านดอลลาร์ สื่อรายงานจาก Bloomberg News ถึงแม้ว่า MGX ยังไม่ได้ยืนยันแผนเหล่านี้อย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวบอกว่า บริษัทกำลังสำรวจโอกาสลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ กับนักลงทุนทางการเงินและเชิงกลยุทธ์ บริษัท MGX ซึ่งมี Sheikh Tahnoon bin Zayed Al Nahyan เป็นประธาน ได้กลายเป็นหน่วยงานชั้นนำในวงการการลงทุนด้าน AI ขณะนี้ถือหุ้นในบริษัท AI ชั้นนำ เช่น OpenAI และ xAI ของ Elon Musk ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาทางเทคโนโลยี AI และส่งเสริมความนวัตกรรมในภาคส่วนนี้ แม้จะมีความเป็นไปได้ในการระดมทุนรอบใหม่ แต่ Mubadala Investment Company และบริษัท G42 ที่เน้นด้าน AI คาดว่าจะยังคงเป็นผู้สนับสนุนหลักของ MGX ต่อไป ซึ่งเป็นการแสดงความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของ MGX และความสามารถในการคว้าโอกาสในตลาด AI การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในวิสัยทัศน์และศักยภาพของ MGX ในการคว้าโอกาสใหม่ๆในด้าน AI นอกจากความพยายามในการระดมทุนของ MGX แล้ว ยังเกิดความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มนวัตกรรมสตาร์ทอัพด้าน AI ทั่วไป ฝรั่งเศสสตาร์ทอัพ Mistral รายงานว่ากำลังเจรจากับ MGX และนักลงทุนรายอื่นๆ เพื่อระดมทุนรอบมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจทำให้บริษัทมีมูลค่าราว 10 พันล้านดอลลาร์ ตามรายงานของ Financial Times ความเป็นไปได้ในรอบนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มความสนใจของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นในสตาร์ทอัพด้าน AI ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในด้านเทคโนโลยีและศักยภาพทางตลาด ถ้าการระดมทุนสำเร็จ MGX จะรวบรวมทุนได้สูงสุดถึง 25 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเป็นหนึ่งในความพยายามระดมทุนที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม AI ถึงปัจจุบัน เน้นความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของเทคโนโลยี AI ต่ออนาคตของนวัตกรรมและการเติบโต เงินทุนนี้จะช่วยให้ MGX ขยายพอร์ตการลงทุนด้าน AI อย่างมาก รองรับการพัฒนาและการขยายเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในอุตสาหกรรมต่างๆ แนวทางการลงทุนของ MGX ดูเหมือนจะสมดุลระหว่างผู้นำในด้าน AI ที่มีอยู่แล้วและสตาร์ทอัพที่มีแนวโน้มสดใส การถือหุ้นใน OpenAI แสดงถึงความมุ่งมั่นในงานวิจัยและการใช้งาน AI ที่ล้ำสมัย ในขณะที่ความเกี่ยวข้องกับ xAI ของ Elon Musk แสดงให้เห็นถึงความเปิดกว้างต่อผู้เข้าใหม่ในตลาดที่หวังจะเปลี่ยนแปลงการพัฒนา AI การร่วมมือกับสตาร์ทอัปเช่น Mistral ยังแสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่หลากหลาย ซึ่งมุ่งหวังจะใช้อर्तिคุณค่าตลอดช่วงต่างๆ ของการเติบโตของบริษัทด้าน AI โครงการเชิงกลยุทธ์นี้สอดคล้องกับเป้าหมายระดับชาติของอาบูดาบีในการเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก ด้วยการลงทุนสำคัญในระบบนิเวศของ AI MGX จึงมีส่วนร่วมในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดึงดูดคนเก่ง ส่งเสริมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และเร่งการกระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากภาคเกษตรและอุตสาหกรรมดั้งเดิม โดยรวมแล้ว การระดมทุนในครั้งนี้ของ MGX ถือเป็นก้าวสำคัญในวงการลงทุนด้าน AI โดยแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ สร้างคุณค่าระยะยาว ด้วยการสนับสนุนจากพันธมิตรอย่าง Mubadala และ G42 MGX จึงอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งที่จะเป็นผู้นำในการสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้าน AI ครั้งใหม่ในภูมิภาคและทั่วโลก ในขณะที่อุตสาหกรรม AI ยังคงสามารถดึงดูดเงินทุนและความสนใจอย่างมาก นักลงทุนก็ยังคงให้ความสนใจต่อความเคลื่อนไหวของผู้เล่นหลักอย่าง MGX ที่สามารถระดมทรัพยากรจำนวนมากเพื่อเร่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนการระดมทุนและการลงทุนในอนาคตของ MGX คาดว่าจะเปิดเผยในเดือนต่อๆ ไป ซึ่งจะได้รับความสนใจอย่างใกล้ชิดจากนักลงทุนและนักวิเคราะห์ในตลาด
Ripple: ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ธนาคารได้ลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน รายงานล่าสุดจาก Ripple และ CB Insights ชี้ให้เห็นว่าธนาคารกำลังเปลี่ยนแปลงตลาดการเงินด้วยการใช้โครงสร้างพื้นฐานสินทรัพย์ดิจิทัล, การทำโทเคน, และความร่วมมือในวงการคริปโต อัปเดตเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2025 เวลา 15:37 น
ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 2025 ของ Axios AM ได้สำรวจผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลจากปัญญาประดิษฐ์ โดยอธิบายว่าเป็น “ซูเปอร์สติมูลันต์ของ AI” ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการลงทุนด้านทุนในระดับไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะในชิปเซมิคอนดักเตอร์ ศูนย์ข้อมูล และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Nvidia, Microsoft และ Alphabet นำหน้าการเติบโตนี้ ซึ่งเป็นการฟื้นฟูอุตสาหกรรมเหล่านี้อย่างมาก การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วย AI นี้สะท้อนให้เห็นถึงยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอดีต ที่เทคโนโลยีเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และการลงทุนทุนจำนวนมาก มันให้การสนับสนุนที่สำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐที่เคยเปราะบาง ด้วยการกระตุ้นความต้องการในฮาร์ดแวร์เฉพาะทางและโซลูชันพลังงานนวัตกรรมที่จำเป็นสำหรับการขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การบูมด้านเทคโนโลยีใหม่ในโครงสร้างพื้นฐานนี้เทียบเคียงกับยุคประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมในระดับและผลกระทบ การนำ AI มาใช้อย่างรวดเร็วต้องใช้พลังการคำนวณและพลังงานอย่างมาก ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ ศูนย์ข้อมูล และพลังงานที่ยั่งยืนเพื่อรองรับการเติบโตนี้ ชิปที่ทันสมัยจาก Nvidia เป็นตัวขับเคลื่อนการคำนวณ AI ส่วน Microsoft และ Alphabet ขยายเครือข่ายศูนย์ข้อมูลทั่วโลกเพื่อรองรับการทำงานที่ใช้พลังงานหนัก การลงทุนเหล่านี้ทำให้เซ็กเตอร์ที่เคยหยุดชะงักหรือลดลงกลับมาฟื้นฟูเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และสร้างงานในสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งชี้ให้เห็นบทบาทสำคัญของ AI เป็นตัวเร่งเศรษฐกิจสำคัญ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจากสัญญาณในเชิงบวกจะดูสดใส ก็ยังมีคำถามเกี่ยวกับความยั่งยืนและความครอบคลุมของการขยายตัวด้วย AI นี้ ความสามารถในการอยู่รอดของการเติบโตจากการลงทุนนี้ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความต้องการของตลาด และกฎระเบียบ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วยังสร้างความท้าทายด้านขยายโครงสร้างพื้นฐานและการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของ AI นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นธรรมในการแจกจ่ายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ยักษ์ใหญ่วงการเทคโนโลยีได้รับผลกำไรอย่างมาก ส่วนการแปลผลให้คนวงกว้างได้รับประโยชน์นั้นยังไม่ชัดเจน หลายฝ่ายยังตั้งคำถามเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของงาน การเติบโตของค่าจ้าง และคุณภาพของงานในกลุ่มประชากรและภูมิประเทศต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน ฝ่ายนโยบาย ผู้นำอุตสาหกรรม และกลุ่มผู้เรียกร้องสิทธิแรงงานต่างเน้นกลยุทธ์เพื่อให้แน่ใจว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจาก AI นี้จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาที่ครอบคลุม ซึ่งรวมถึงการลงทุนในฝึกอบรมแรงงาน โปรแกรมศึกษาที่เน้น AI และนโยบายสังคมสนับสนุน เพื่อช่วยให้แรงงานปรับตัวกับความต้องการแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยสรุป รายงาน Axios AM ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยมีการลงทุนทุนและการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานที่นำโดยบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ขณะที่การเติบโตนี้มีแนวโน้มสร้างการฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงเวลาท้าทาย การรับประกันความยั่งยืนในระยะยาวและการแจกจ่ายผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกันจึงยังคงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถใช้ศักยภาพของ AI เป็นแรงขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจแบบครอบคลุมในอนาคต
ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัมกำลังสร้างความกังวลอย่างมากในชุมชนบล็อกเชน เนื่องจากศักยภาพในการทำลายความปลอดภัยและความสมบูรณ์ของระบบบล็อกเชนในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ควอนตัมมีพลังการประมวลผลที่เหนือกว่ามาก ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่ออัลกอริธึมเข้ารหัสลับที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นฐานของเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งสำคัญต่อความปลอดภัยในการทำธุรกรรม ความสมบูรณ์ของข้อมูล และกลไกการเห็นชอบ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ การศึกษาฉบับใหม่ได้นำเสนอการประเมินความเสี่ยงโดยครอบคลุมเน้นการเปลี่ยนแปลงจากระบบบล็อกเชนแบบดั้งเดิมไปสู่ทางเลือกที่ทนทานต่อควอนตัม การศึกษาอย่างละเอียดวิเคราะห์ช่องโหว่ที่เกิดจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมและประเมินว่าส่วนประกอบต่าง ๆ ของบล็อกเชนมีความเสี่ยงต่อการโจมตีด้วยควอนตัมอย่างไร เน้นพื้นที่สำคัญในระบบนิเวศบล็อกเชนที่ต้องได้รับการคุ้มครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนการเข้ารหัส เช่น การเข้ารหัสด้วยวงรีครวย์ (elliptic curve cryptography) ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างกุญแจและการตรวจสอบธุรกรรม การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าอัลกอริธึมควอนตัม เช่น อัลกอริธึมชอร (Shor’s algorithm) สามารถเจาะระบบเข้ารหัสเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้วิธีความปลอดภัยในปัจจุบันไม่เพียงพออีกต่อไป การศึกษาเพิ่มเติมยังสำรวจผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับโปรโตคอลการเห็นชอบ ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์แต่ละส่วนในระบบตกลงกันได้ คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจทำให้โปรโตคอลเหล่านี้ล้มเหลว เพิ่มความเสี่ยงเช่น การโจมตีซ้ำธุรกรรม (double-spending) และการแยกเครือข่าย (forks) ซึ่งจะเป็นภัยต่อความเชื่อมั่นในระบบ เพื่อบรรเทาปัญหา นักวิจัยให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติในการสร้างระบบบล็อกเชนที่ปลอดภัยและแข็งแรง โดยเน้นการนำอัลกอริธึมเข้ารหัสที่ทนทานต่อควอนตัมมาใช้ เช่น การเข้ารหัสแบบ lattice-based, hash-based, code-based และ multivariate polynomial ซึ่งอยู่ในระหว่างการประเมินผลเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ในขณะนี้ นอกจากนี้ การศึกษาแนะนำให้ใช้ระบบการเข้ารหัสผสมผสานในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งรวมอัลกอริธึมคลาสสิกและหลังควอนตัม เพื่อรักษาความปลอดภัยในระยะสั้นและรองรับการย้ายไปสู่โปรโตคอลที่ปลอดภัยเต็มรูปแบบในอนาคตอย่างราบรื่น โดยไม่กระทบต่อการดำเนินงานของระบบบล็อกเชน นอกจากนั้น ยังเน้นความสำคัญของการวางมาตรฐานแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยที่ทนทานต่อควอนตัมในอุตสาหกรรม โดยความร่วมมือระหว่างนักพัฒนาบล็อกเชน นักเข้ารหัส และนักนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อพัฒนาแนวกรอบและแนวทางปฏิบัติร่วมกันที่ช่วยให้ความปลอดภัยในระบบมีความมั่นคงและสามารถตรวจสอบได้อย่างสอดคล้อง การศึกษานี้ยังเน้นความจำเป็นในการติดตามและอัปเดตโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัมพัฒนาไปอย่างไม่หยุดหย่อน ควรมีมาตรการเชิงรุก เช่น การประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง การทดสอบอัลกอริธึมใหม่อย่างละเอียด และการออกแบบสถาปัตยกรรมที่ยืดหยุ่นเพื่อรองรับการอัปเดตอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการให้การประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียดและแนวทางกลยุทธ์นี้ งานวิจัยได้ก้าวหน้ามากในด้านความพร้อมของบล็อกเชนสำหรับยุคเทคโนโลยีควอนตัม ซึ่งเป็นคำเรียกร้องให้ชุมชนเร่งพัฒนาและศึกษาต่อยอดเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งต้านทานควอนตัม โดยสรุป ความบรรจบกันของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัมและบล็อกเชนเป็นแนวหน้าสำคัญในด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แม้ว่าความท้าทายจะมีมาก แต่แนวคิดและคำแนะนำในงานนี้เป็นแนวทางให้พัฒนาระบบบล็อกเชนที่ยังคงมั่นคงและน่าเชื่อถือในยุคที่เทคโนโลยีควอนตัมพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การนำเสนอโซลูชันที่ทนทานต่อควอนตัมจะเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาความเสถียรและความน่าเชื่อถือของระบบบล็อกเชนในอนาคตใกล้และไกล
ณ เดือนกรกฎาคม 2025 แนวโน้มที่น่าจับตามองคือบริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กเริ่มลงทุนในเอเธอร์ (ETH) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลลำดับรองรองจากบิทคอยน์มากขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทเหล่านี้มองว่าเอเธอร์ไม่เพียงแต่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลแต่ยังเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อที่มีความคุ้มค่า น่าเชื่อถือ และสามารถนำไปใช้งานได้จริงภายในบล็อกเชนของ Ethereum การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในบทบาทสองด้านของเอเธอร์ทั้งเป็นที่เก็บมูลค่าและเป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนเกินกว่าการเพิ่มมูลค่าเพียงอย่างเดียว เงินสดขององค์กรได้เพิ่มการถือครองเอเธอร์อย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยบริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กเหล่านี้มีการถือครอง ETH รวมกันประมาณ 966,304 ETH มูลค่าราว 3
ในวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ.
ในการให้สัมภาษณ์อย่างละเอียด ซีอีโอของ SAP คริสเตียน Klein ได้แชร์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเป็นผู้นำในยุคแห่งปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เส้นทางการเปลี่ยนแปลงของ SAP และความท้าทายซับซ้อนในการนำเสนอโซลูชัน AI ระดับองค์กร โดยเขาได้ทำงานที่ SAP ตั้งแต่ปี 1999 ทำให้เขามีมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับสมดุลที่สำคัญระหว่างเทคโนโลยีและปัจจัยมนุษย์ในธุรกิจ คริสเตียน Klein เน้นย้ำบทบาทที่ไม่สามารถแทนที่ได้ของการใช้วิจารณญาณของมนุษย์ ความฉลาดทางอารมณ์ และความเข้าใจเชิงวัฒนธรรม โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าการอัตโนมัติและการนำ AI ไปใช้เป็นวงกว้าง เขาย้ำว่าความรับผิดชอบของมนุษย์และการตัดสินใจที่ละเอียดอ่อนยังคงสำคัญ โดยเฉพาะในด้านการเป็นผู้นำ การตรวจสอบบัญชี และด้านวัฒนธรรมในระดับนานาชาติ ภายใต้การนำของ Klein SAP ได้ปรับเปลี่ยนตำแหน่งตัวเองให้เป็นบริษัทที่มุ่งเน้นคลาวด์เป็นอันดับแรก โดยรายได้มากกว่าครึ่งมาจากบริการคลาวด์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตและนวัตกรรมในอนาคตของบริษัท AI ได้ฝังรากลึกลงไปในกิจกรรมหลักของ SAP ช่วยเพิ่มผลผลิตและเสริมสร้างกระบวนการอัจฉริยะในระบบซอฟต์แวร์องค์กรทั่วโลกของบริษัท แม้จะมองในแง่บวกเกี่ยวกับศักยภาพของ AI แต่ Klein ก็มีมุมมองระมัดระวังเกี่ยวกับการแทนที่บทบาทของมนุษย์อย่างสมบูรณ์ เขาเห็นว่า AI ช่วยเสริมผลผลิตและวิเคราะห์ข้อมูล แต่ไม่สามารถทดแทนความรับผิดชอบและความเข้าใจในรายละเอียดเฉพาะของมนุษย์ที่จำเป็นในภารกิจทางธุรกิจซับซ้อน แทนที่จะเป็นสถานที่ทำงานดิจิทัลเต็มรูปแบบที่ไม่มีมนุษย์เขาเห็นภาพของบทบาทใหม่ๆ เช่น นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักกลยุทธ์ดิจิทัล ที่ใช้เครื่องมือ AI อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกันนั้นก็สามารถนำการตัดสินใจด้านกลยุทธ์ไปในทางที่ถูกต้อง Klein ชี้ให้เห็นอุปสรรคสำคัญในการนำ AI ไปใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ คือ ความถูกต้องของข้อมูล กระบวนการเชื่อมต่อที่ราบรื่น และกรอบการกำกับดูแลที่สอดคล้องกัน การแก้ไขอุปสรรคทางเทคนิคและกฎหมายเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นต่อการใช้ AI อย่างเต็มที่ในระดับ масштаб เขาเรียกร้องให้มีการควบคุม AI ที่มุ่งผลลัพธ์เป็นหลัก แทนที่จะเน้นกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดหรือเทคโนโลยีโดยเฉพาะ ซึ่งจะส่งเสริมความนวัตกรรมพร้อมกับการใช้งานอย่างรับผิดชอบ แนวทางนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะในบริบทของกฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยข้อมูลที่เข้มงวดของยุโรป เมื่อสะท้อนถึงเส้นทางใน SAP Klein ได้แชร์บทเรียนด้านการเป็นผู้นำที่เน้นพลังของอิทธิพลเหนืออำนาจแบบเดิม และความสำคัญของงานที่ขับเคลื่อนด้วยความหลงใหลเพื่อความสำเร็จในระยะยาว เขายังเน้นความสำคัญของการปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความเข้าใจเชิงลึกในองค์กรเพื่อเป็นแนวทางในตลาดที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว Klein มองอนาคตที่คุณลักษณะของมนุษย์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นองค์รวม โดยใช้ AI จัดการงาน routine ในขณะที่รักษาความคิดสร้างสรรค์ ความฉลาดทางอารมณ์ และความรับผิดชอบของมนุษย์ บริษัทต่างๆ จะสามารถบรรลุเป้าหมายด้านประสิทธิภาพและเสริมสร้างความเป็นผู้นำที่มีความเข้าใจในวัฒนธรรม โดยมองสมดุลนี้เป็นพันธมิตรกับความต้องการในเวทีโลกที่ต้องการความตระหนักรู้ระหว่างประเทศควบคู่ไปกับความอ่อนไหวในระดับท้องถิ่น ตลอดระยะเวลาที่เขาดำรงตำแหน่ง Klein ได้แนะนำ SAP สู่ความเป็นผู้นำในด้านโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และการผสานรวม AI ตั้งเป็นมาตรฐานสำหรับบริษัทซอฟต์แวร์องค์กรที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเดียวกัน มุมมองของเขาย้ำให้เห็นว่าการเป็นผู้นำในยุค AI คือการเชี่ยวชาญในการผสมผสานระหว่างความเข้าใจของมนุษย์และเทคโนโลยี – ไม่ใช่การปล่อยให้เครื่องจักรควบคุมทั้งหมด ในอนาคต SAP ภายใต้การนำของ Klein มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่มีความสามารถในการผสมผสานความรู้ด้านข้อมูลกับความเชี่ยวชาญทางธุรกิจแบบดั้งเดิม เพื่อเปิดยุคใหม่ของความเป็นผู้นำองค์กร พร้อมเผชิญกับความท้าทายที่เกิดจาก AI และคว้าโอกาสโดยยังคงรักษาคุณค่ามนุษย์และความสอดคล้องตามกฎระเบียบ
- 1