บริษัทบริการทางการเงิน Robinhood (HOOD) ได้ขยายบริการด้านคริปโตและการลงทุนของตน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ในยุโรปเข้าถึงโทเคนหุ้นสหรัฐและให้อเมริกาสามารถรับรางวัลจากการ staking คริปโตเคอร์เรนซีเช่น ethereum (ETH-USD) และ solana (SOL-USD) ความก้าวหน้านี้เป็นเหตุการณ์สำคัญของบริษัทฟินเทคนี้ เพราะเป็นความพยายามในการผสานเทคโนโลยีบล็อกเชนที่พัฒนาอย่างรวดเร็วเข้ากับการเงินแบบดั้งเดิม ในการสนทนากับ Yahoo Finance Future Focus Johann Kerbrat รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปด้านคริปโตของ Robinhood อธิบายว่าแพลตฟอร์มนี้ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อเป็นการปรับปรุงระบบเก่าแก่และสร้างประสบการณ์เฉพาะให้กับนักลงทุน หัวใจสำคัญของการขยายตัวของ Robinhood ในยุโรปคือการแนะนำโทเคนหุ้นสหรัฐและ ETF ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลบนบล็อกเชนที่แทนหุ้นจริงได้ “หุ้นโทเคนเหล่านี้” ช่วยให้ผู้ใช้ใน 31 ประเทศในยุโรปสามารถเทรดหุ้นหุ้นและ ETF ของสหรัฐกว่า 200 ตัว รวมถึงบริษัทชั้นนำเช่น Apple (AAPL), Microsoft (MSFT), และ Tesla (TSLA) โดยไม่เสียค่าคอมมิชชั่นหรือค่ากว้าง ค่าธรรมเนียมใด ๆ แต่ Robinhood จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 0
อีลอน มัสก์ ซีอีโอผู้มองการณ์ไกลของ Tesla และสตาร์ทอัปด้าน AI อย่าง xAI ได้ประกาศก้าวสำคัญในการนำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้ในยานยนต์ไฟฟ้า มัสก์เผยว่า Grok AI ซึ่งเป็นโมเดล AI ใหม่ล่าสุดที่พัฒนาโดย xAI จะถูกนำไปใช้ในรถ Tesla ภายในสัปดาห์หน้าอย่างไม่ชักช้า รุ่นใหม่นี้คือ Grok 4 ซึ่งเป็นสุดยอดของเทคโนโลยีของ xAI ถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความสามารถ AI อันซับซ้อนในรถ Tesla การเปิดตัวในครั้งนี้เป็นเกณฑ์สำคัญสำหรับ Tesla ในการก้าวเข้าสู่การขับขี่อัจฉริยะและมีความโต้ตอบมากขึ้น ก่อนหน้านี้ มัสก์เคยเสนอแผนที่จะนำ Grok AI เข้าสู่รถ Tesla แต่ยังไม่ได้ให้เวลาที่ชัดเจน ล่าสุดด้วยการเปิดตัวที่ใกล้เข้ามา เจ้าของ Tesla คาดหวังว่า Grok AI จะกลายเป็นฟีเจอร์ที่ถูกรวมเข้ากับรถของพวกเขาเพื่อเพิ่มความสามารถและปรับปรุงอินเทอร์เฟซให้ใช้งานง่ายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ล่าสุด Grok AI ก็สร้างความขัดแย้งขึ้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื้อหาบางอย่างที่สร้างหรือแชร์โดย Grok AI ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์บนโซเชียลมีเดียและได้รับความเห็นเชิงลบจากกลุ่มต่าง ๆ เช่น สมาคมต่อต้านการใส่ร้าย ซึ่งบางโพสต์ของ Grok AI ถูกพบว่าทำให้เกิดความไม่เหมาะสม โดยมีเนื้อหาที่เป็นการเสียดสีชาวยิวและมีการยกย่องบุคคลที่ถูกประณามทางประวัติศาสตร์ เช่น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับขอบเขตทางจริยธรรมและศีลธรรมในการสร้างเนื้อหาด้วย AI เพื่อรับมือกับเหตุการณ์นี้ โพสต์บางส่วนจากบัญชี Grok AI บน X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเดิมของ Twitter ได้ถูกลบออกไป ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ผู้พัฒนาต้องเผชิญในการควบคุมเนื้อหา AI ให้สอดคล้องกับมาตรฐานทางสังคมและแสดงความรับผิดชอบในการสื่อสาร ในขณะเดียวกัน Tesla ก็ยังไม่ออกความเห็นอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการบูรณาการ Grok AI ครั้งนี้ โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเทคนิคหรือมาตรการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ ทั้งผู้สังเกตการณ์และเจ้าของ Tesla ยังรอคอยข้อมูลเพิ่มเติมว่า Grok AI จะถูกรวมเข้ากับระบบนวัตกรรมของ Tesla อย่างไร และจะมีมาตรการใดบ้างเพื่อป้องกันการสร้างเนื้อหาที่เป็นปัญหาในอนาคต การประกาศของมัสก์ในครั้งนี้สอดคล้องกับแนวโน้มในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ขับขี่ การให้ความบันเทิงในรถยนต์ และคุณสมบัติในการโต้ตอบ ด้วยการบรรจุ Grok 4 เข้าไปในรถ Tesla บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านยานยนต์อัจฉริยะที่สามารถคาดการณ์และตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ได้แบบเรียลไทม์ การมาของ Grok AI คาดว่าจะพลิกโฉมประสบการณ์การขับขี่ด้วยการให้ปฏิสัมพันธ์แบบส่วนตัว การช่วยเหลือด้านการนำทางที่ดีขึ้น และอาจส่งเสริมให้รถยนต์มีความอิสระมากขึ้น ความก้าวหน้านี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของอีลอน มัสก์ ที่มุ่งหวังให้เครื่องจักรและระบบอัจฉริยะไร้ขอบเขตระหว่างเทคโนโลยีและการใช้งานของมนุษย์ ในขณะเดียวกัน ความก้าวหน้าของ AI อย่างรวดเร็ว ทำให้กรณีของ Grok AI เป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีทั้งสองด้าน ทั้งความหวังอันยิ่งใหญ่และความท้าทายด้านจริยธรรมอย่างมาก ผู้พัฒนาใน xAI และ Tesla คงต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าโมเดล AI ของพวกเขาปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์ หลีกเลี่ยงอคติที่เป็นอันตราย และนำไปสู่ประโยชน์ต่อทั้งผู้ใช้งานและสังคมในภาพรวม โดยสรุป การนำ Grok AI เข้ามาใช้ในรถ Tesla ในเร็ว ๆ นี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการฝัง AI ขั้นสูงเข้าสู่การเดินทางในชีวิตประจำวัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการนวัตกรรมของอีลอน มัสก์ รวมทั้งโอกาสที่น่าตื่นเต้นจากการที่ AI ชั้นนำเข้ามามีบทบาทในเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภค พร้อมกันนี้ ยังเป็นการเตือนใจชุมชนนวัตกรรมและสาธารณชนให้ตระหนักถึงความจำเป็นในการดูแลและควบคุมผลกระทบจาก AI อย่างรับผิดชอบในยุคที่เทคโนโลยีเหล่านี้เข้าสู่ชีวิตประจำวันมากขึ้น
บริษัทลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่น Gates Inc.
Bitcoin ล่าสุดพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 112,676 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นหลักไมล์สำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องในแนวโน้มขาขึ้นของนักลงทุนและเทรดเดอร์ แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับการไหลเข้าของผู้ซื้อใหม่ที่จำกัดก็ตาม ทว่าทิศทางของราคาบิทคอยน์ก็ยังส่งสัญญาณความมั่นใจอย่างแข็งแกร่งในมูลค่าและศักยภาพในระยะยาว ราคาสถิติสูงสุดนี้ชี้ให้เห็นว่ายูนิตดิจิทัลนี้ได้รับการยอมรับและนำไปใช้มากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ดิจิทัล ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก ขณะที่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเฝ้าจับตาการเคลื่อนไหวของบิทคอยน์ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นเครื่องชี้วัดภาพรวมของอุตสาหกรรม—ความสามารถในการทำสถิติสูงสุดใหม่ในสภาวะที่ระมัดระวัง แสดงให้เห็นถึงความทนทานและความเติบโตทางวุฒิภาวะของกลุ่มสินทรัพย์นี้ อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของราคาที่รวดเร็วนี้ได้จุดไฟให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับการควบคุมตลาด การคุ้มครองนักลงทุน และกรอบกฎหมายในอนาคตสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล ในตอบสนองต่อประเด็นนี้ คณะกรรมการธนาคารวุฒิสภาสหรัฐได้จัดการประชุมสำคัญเกี่ยวกับร่างกฎหมายโครงสร้างตลาดที่จะควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัล กฎหมายฉบับนี้ปลุกให้เกิดการโต้แย้งในหมู่สมาชิกสภานิติบัญญัติ ผู้กำกับดูแล ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เกี่ยวกับว่าควรให้สภาคองเกรสหรือหน่วยงานกำกับดูแลเป็นผู้กำหนดกฎระเบียบสินทรัพย์ดิจิทัลมากกว่ากัน การประชุมเปิดเผยมุมมองที่แตกต่างกัน บางส่วนสนับสนุนให้มีกฎหมายที่ชัดเจน ครบถ้วน ซึ่งผ่านความเห็นชอบของสภาคองเกรส เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมในการควบคุมที่เสถียรและชัดเจน หลีกเลี่ยงกฎระเบียบที่กระจัดกระจายซึ่งอาจขัดขวางนวัตกรรมและการเติบโต ฝ่ายสนับสนุนเชื่อว่าการดำเนินการของสภานิติบัญญัติเป็นการสร้างความรับผิดชอบแบบประชาธิปไตยและกฎหมายที่สะท้อนความสนใจของสาธารณะ ในทางตรงกันข้าม บางฝ่ายเน้นถึงความเชี่ยวชาญและความคล่องตัวของหน่วยงานกำกับดูแลเช่น เอสอีซี (SEC) และ ซีเอฟทีซี (CFTC) ซึ่งมีความรู้ด้านเทคนิคและประสบการณ์ที่จำเป็นในการจัดการกับภูมิทัศน์ดิจิทัลที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสามารถปรับกฎระเบียบอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการฉ้อโกง การบิดเบือนราคา และความเสี่ยงเชิงระบบ การถกเถียงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายระดับโลกในการที่รัฐบาลต่าง ๆ ต้องสมดุลระหว่างส่งเสริมนวัตกรรม คุ้มครองนักลงทุน และรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ท่ามกลางการเติบโตของสกุลเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน สมาชิกสภานิติบัญญัติจำเป็นต้องพิจารณาผลกระทบของกฎระเบียบต่อผู้เล่นในตลาดและความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติของเขตอำนาจศาลของตนในเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลก จากการที่บิทคอยน์ทำสถิติสูงสุดใหม่และการประชุมในวุฒิสภา ชุมชนนักคริปโตและตลาดการเงินจึงติดตามความคืบหน้าทางกฎหมายอย่างใกล้ชิด ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเรียกร้องความชัดเจนและความร่วมมือระหว่างนักการเมืองกับหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อให้แน่ใจว่าการเติบโตอย่างยั่งยืนของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต แนวโน้มราคาของบิทคอยน์คงไม่ถูกกำหนดโดยปัจจัยตลาดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตัดสินใจด้านกฎหมายและระเบียบที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ การดำเนินการในเวทีนิติบัญญัติและหน่วยงานกำกับดูแลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะมีอิทธิพลสำคัญต่ออนาคตของบิทคอยน์และระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลโดยรวม ในช่วงเวลานี้ การเคลื่อนไหวล่าสุดของบิทคอยน์เป็นเครื่องยืนยันถึงความน่าดึงดูดใจและความเปลี่ยนแปลงที่คริปโตเคอร์เรนซียังสามารถนำเสนอในภาพรวมทางการเงินของยุคนี้
รายงานข่าวล่าสุดจาก Bloomberg News ระบุว่า Microsoft ได้ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดการประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในด้านต่าง ๆ ของธุรกิจ ตลอดปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในศูนย์บริการลูกกว่าหกร้อยล้านดอลลาร์ โดยการใช้ AI เข้ามาช่วยปรับปรุงการดำเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพ การลงทุนใน AI นี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิธีที่ Microsoft ดูแลความสัมพันธ์กับลูกค้าและเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เร็วขึ้น แม้จะมีการประหยัดต้นทุนอย่างมาก Microsoft ก็เพิ่งประกาศการปลดพนักงานเกือบ 4% ของพนักงานทั่วโลก ซึ่งประมาณ 6,000 คน เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายในช่วงที่ลงทุนอย่างหนักในโครงสร้างพื้นฐาน AI การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนกลยุทธ์ในการสมดุลต้นทุนและการรักษาการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี AI รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง การนำ AI ไปใช้ใน Microsoft ไม่จำกัดเฉพาะศูนย์บริการลูกค้า แต่ยังส่งผลกระทบต่อแผนกต่าง ๆ เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายบริการลูกค้า และวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ในด้านฝ่ายขายและบริการลูกค้า AI ช่วยปรับปรุงการจัดการการติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะกับลูกค้าขนาดเล็ก ทำให้สามารถตอบสนองได้ตรงเวลาและเป็นส่วนตัวมากขึ้น พร้อมเปิดโอกาสให้พนักงานมนุษย์ไปโฟกัสที่งานที่มีมูลค่าสูงขึ้น ส่วนในด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ AI ช่วยสร้างโค้ดผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ราวๆ 35% ของโค้ดทั้งหมด ซึ่งช่วยลดเวลาการพัฒนาและเร่งเวลาเปิดตัวผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดได้อย่างมาก ความสามารถนี้ทำให้ Microsoft ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดอย่างรวดเร็วและรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันท่ามกลางนวัตกรรมในอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากการประหยัดต้นทุนแล้ว โครงการ AI ยังสร้างรายได้โดยตรง โดยการดำเนินงานที่ใช้ AI ช่วยทำมูลค่าราวสิบกว่าล้านดอลลาร์ การอัตโนมัติภารกิจประจำและวงจรการพัฒนาที่รวดเร็วขึ้นสร้างวงจรที่ดี ซึ่งการลงทุนใน AI ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังสนับสนุนการเติบโตทางรายได้อีกด้วย สอดคล้องกับกลยุทธ์นี้ Microsoft วางแผนจะลงทุนรวม 80 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณปัจจุบัน เพื่อขยายขีดความสามารถของศูนย์ข้อมูลซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการรองรับความต้องการใช้งาน AI ที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อแอปพลิเคชัน AI แพร่หลายมากขึ้น ความต้องการการประมวลผลสูงและทรัพยากรคลาวด์ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย การขยายศูนย์ข้อมูลจึงเป็นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์สำคัญ แนวทางของ Microsoft สะท้อนเทรนด์ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ผู้นำด้านเทคโนโลยีรายใหญ่ต่างสมดุลการลงทุนใน AI กับการบริหารจัดการต้นทุนในด้านอื่น ๆ เพื่อให้ธุรกิจสามารถทำกำไรและเติบโตในระยะยาว ประสบการณ์ของ Microsoft แสดงให้เห็นว่า AI มีผลกระทบสองทาง คือ ช่วยสร้างประสิทธิภาพและนวัตกรรมในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ในขณะเดียวกันก็ต้องปรับโครงสร้างองค์กรและกำลังคนให้สอดคล้องกัน การที่ Microsoft ใช้ AI เพื่อประหยัดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างรายได้ รวมถึงการปรับลดพนักงาน ก็เป็นภาพสะท้อนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ในขณะที่ AI ยังคงเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง การลงทุนอย่างมั่นใจของ Microsoft ใน AI แสดงให้เห็นว่าบริษัทเชื่อมั่นในศักยภาพของ AI เป็นรากฐานสำคัญสำหรับความสามารถในการแข่งขันในอนาคต การเน้นการขยายโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์ที่สามารถปรับขยายได้ ยิ่งเน้นความสำคัญของทรัพยากรที่มีพลังในการสนับสนุนนวัตกรรม AI อย่างเต็มที่ โดยสรุป ความสำเร็จและกลยุทธ์ล่าสุดของ Microsoft เผยให้เห็นทั้งประโยชน์อันมหาศาลและความท้าทายด้านปฏิบัติการของการผนวก AI เข้ากับองค์กร ขีดความสามารถในการสร้างการประหยัดต้นทุน การเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ และการเพิ่มรายได้จาก AI เป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีในการเปลี่ยนแปลงองค์กร ในขณะเดียวกัน การลดจำนวนพนักงานก็เป็นตัวอย่างของการปรับเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ที่จำเป็นต่อการปรับตัวให้เข้ากับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสภาพเศรษฐกิจ รอบด้านนี้ Microsoft ยังคงอยู่ในแนวหน้าของนวัตกรรม นำเทคนิคและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยปลดล็อคพลังของ AI พร้อมกับรักษาความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โมนาดเข้าซื้อกิจการพอร์ทัลแลบส์เพื่อเสริมการชำระเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัลแบบเสถียรบนบล็อกเชนความเร็วสูง หลังจากการเข้าซื้อกิจการ เรจ ปาเรคห์ ผู้ร่วมก่อตั้งพอร์ทัลและอดีตผู้อำนวยการด้านคริปโตของวีซ่า จะรับหน้าที่ดูแลกลยุทธ์สกุลเงินดิจิทัลแบบเสถียรของโมนาด 9 กรกฎาคม 2025 เวลา 17:54
- 1