นวอีดี้กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะบริษัทแรกที่เข้าใกล้มูลค่าตลาดอันน่าทึ่งถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ความก้าวหน้านี้เน้นให้เห็นถึงการเติบโตอย่างยอดเยี่ยมของบริษัทและการฟื้นตัวของราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้สถานะของบริษัทเป็นผู้นำในวงการเทคโนโลยี ตั้งอยู่ในซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย นวอีดี้ได้เปลี่ยนจากบริษัทที่โดดเด่นเฉพาะด้านชิปกราฟิก (GPU) มาเป็นผู้นำในเทคโนโลยีการคำนวณขั้นสูง รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) ข้อมูลศูนย์ และการแก้ปัญหาการคำนวณประสิทธิภาพสูง การก้าวไปสู่มูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของนวอีดี้และการขยายขอบเขตของธุรกิจของบริษัทนี้ การบรรลุเป้าหมายมูลค่าดังกล่าวไม่เพียงแสดงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่แข็งแกร่ง แต่ยังเป็นช่วงเวลาสำคัญในพัฒนาการของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีอีกด้วย ก่อนหน้านี้ นวอีดี้เคยทะลุมูลค่าตลาดกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ถือว่าไม่ธรรมดาเมื่อพิจารณาถึงสภาพการแข่งขันและอุปสรรคในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมชิป ไมเคิลบราวน์ นักวิเคราะห์อาวุโส ได้กล่าวถึงความโดดเด่นของการเติบโตของนวอีดี้ว่า “ในหลายด้าน ทุกอย่างที่น่าจะเป็นไปในทางบวกสำหรับบริษัทนี้ ได้ลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบ” นักวิเคราะห์เชื่อว่าการเติบโตนี้เป็นผลจากความมั่นใจในนวอีดี้ในด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี การร่วมมือทางกลยุทธ์ และความพยายามเชิงรุกในการคว้าโอกาสใหม่ในด้าน AI และการเรียนรู้ของเครื่อง รายงานผลประกอบการไตรมาสของบริษัทในเร็วๆ นี้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากนักลงทุนและผู้สังเกตการณ์ในตลาด คาดการณ์ไว้ว่านวอีดี้จะสามารถรักษาโมเมนตัมนี้ต่อไปได้ แม้อยู่ในสภาพภูมิศาสตร์การเมืองที่ซับซ้อนและการตรวจสอบระเบียบข้อบังคับที่เพิ่มมากขึ้นจากหน่วยงานทั่วโลก ซึ่งกังวลเกี่ยวกับอำนาจในตลาดของบริษัท ผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมของนวอีดี้ได้รับความสนใจจากหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก ซึ่งกำลังตรวจสอบอิทธิพลของบริษัทในตลาดชิปและผลกระทบเชิงเปรียบเทียบต่อการแข่งขัน แม้จะเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ นวอีดี้ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการบริหารจัดการความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญในวงการ เช่น บ็อบ โอ’โดนเนลล์ ได้ชื่นชมความมุ่งมั่นเชิงกลยุทธ์และการดำเนินงานของนวอีดี้ว่า “นวอีดี้นำเรื่องราวของพวกเขามาสู่ชีวิตได้อย่างชัดเจน พวกเขาสามารถทำสำเร็จตามเป้าหมายสำคัญเกือบทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ของพวกเขา” งานประชุมผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่จัดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของนวอีดี้ในด้านนวัตกรรมและความร่วมมือในชุมชนเทคโนโลยี ในระหว่างงาน นวอีดี้ยังให้ความสำคัญกับบทบาทของนโยบายรัฐบาลในการกำหนดทิศทางอุตสาหกรรม โดยผู้นำของบริษัทแสดงความขอบคุณนโยบาย “อเมริกาก่อน” ที่สนับสนุนโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างการลงทุนในเทคโนโลยีและการผลิตชิปภายในประเทศ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของนวอีดี้ยังคงอยู่ในแนวหน้าของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยมีสินค้าหลักอย่าง H100 GPU และสถาปัตยกรรม Blackwell ใหม่ล่าสุด ซึ่งสัญญาว่าจะมอบประสิทธิภาพและความประหยัดพลังงานที่ยอดเยี่ยม สินค้าเหล่านี้ยังคงท้าทายคู่แข่งอย่าง AMD ซึ่งก็แข่งขันเพื่อส่วนแบ่งตลาดในด้าน GPU และ AI รวมถึงการคำนวณอีกด้วย สรุปแล้ว การคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดของนวอีดี้จะทะลุ 5 ล้านล้านดอลลาร์ ไม่ใช่แค่ความสำเร็จทางการเงินเท่านั้น แต่ยังหมายถึงผลกระทบเปลี่ยนแปลงของบริษัทต่อวงการเทคโนโลยีและบทบาทสำคัญในการผลักดันนวัตกรรมไปข้างหน้า เมื่อบริษัทใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ และนโยบายสนับสนุนอย่างเต็มที่ นวอีดี้ได้ตั้งมาตรฐานใหม่สำหรับความสำเร็จและการเติบโตในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว
นวาลด์ ใกล้แตะมูลค่าตลาดประวัติศาสตร์ 5 ล้านล้านดอลลาร์ ท่ามกลางกระแสพลวัตนวัตกรรมเทคโนโลยี
ในยุคปัจจุบันของการเติบโตอย่างรวดเร็วของเนื้อหาดิจิทัล โซเชียลมีเดียต่างๆ หันมาใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขั้นสูงเพื่อจัดการและเฝ้าระวังวิดีโอจำนวนมากที่ถูกอัปโหลดในทุกนาที โซเชียลมีเดียเหล่านี้ได้ใช้ระบบควบคุมเนื้อหาแบบขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อระบุและลบวิดีโอที่ละเมิดแนวทางชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัยและให้ความเคารพในระดับโลก ภารกิจหลักของระบบเหล่านี้คือการวิเคราะห์เนื้อหาวิดีโอเพื่อค้นหาสารต้องห้าม เช่น ข้อมูลเท็จ คำพูดเกลียดชัง ความรุนแรงในภาพ และเนื้อหาอันตรายอื่นๆ โดยใช้ алгоритมซับซ้อนและโมเดลการเรียนรู้ของเครื่อง เครื่องมือเหล่านี้จะสแกนวิดีโอเพื่อระบุรูปแบบ คำสำคัญ และสัญญาณภาพที่บ่งชี้ว่ามีการละเมิดนโยบายของแพลตฟอร์ม เทคโนโลยีจะทำการติดธงวิดีโอที่มีปัญหาโดยอัตโนมัติ ซึ่งสามารถนำไปสู่การลบออกอย่างรวดเร็วเพื่อจำกัดการแพร่กระจาย หรือส่งต่อให้ผู้ดูแลด้วยมนุษย์เพื่อการตรวจสอบบริบทและความถูกต้อง หนึ่งในแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ใช้งาน AI ในการควบคุมเนื้อหาคือปริมาณวิดีโอที่ถูกแชร์ในแต่ละวัน ซึ่งผู้ดูแลด้วยมนุษย์เพียงลำพังไม่สามารถรับมือกับปริมาณนี้ได้ การ review ด้วยมือบนทุกวิดีโอจึงเป็นไปไม่ได้ AI จึงเป็นโซลูชันที่สามารถปรับขนาดได้และเกือบเรียลไทม์ ช่วยจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลอย่างมีประสิทธิภาพ ลดเนื้อหาอันตรายที่ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้และการสนทนาสาธารณะ แม้ AI มีศักยภาพสูง แต่ก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายสำคัญ การสมดุลระหว่างอัตโนมัติและการดูแลของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจาก AI ขาดความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับการสื่อสารของมนุษย์ บริบท และวัฒนธรรม ซึ่งจำเป็นต่อการประเมินเจตนาและผลกระทบอย่างถูกต้อง ความพึ่งพา AI มากเกินไปอาจนำไปสู่การเกิดผลบวกผิดพลาด (การลบวิดีโอที่ถูกต้องตามกฎหมาย) หรือผลลบผิดพลาด (การไม่สามารถตรวจพบเนื้อหาเป็นอันตรายได้) นอกจากนี้ ระบบ AI ยังต้องเผชิญกับอคติที่ฝังอยู่ในข้อมูลการฝึกสอนหรือข้อผิดพลาดในการออกแบบ ซึ่งอาจทำให้กลุ่มหรือมุมมองต่างๆ ถูกเลือกปฏิบัติ ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ยังมีความกังวลเรื่องการเซ็นเซอร์ ซึ่งอาจถูกนำไปใช้ในการปิดกั้นความคิดเห็นและประเด็นที่เป็นธรรม ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงนี้ หลายแพลตฟอร์มจึงนำ AI มาช่วยทำงานร่วมกับผู้ดูแลด้วยมนุษย์ที่ตรวจสอบเนื้อหาที่ถูกธงไว้อย่างมีความเข้าใจและใส่ใจในบริบท เนื้อหาที่เป็นอันตรายมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น รูปแบบ เทคนิคในการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ คำพูดเกลียดชัง หรือความรุนแรงในภาพ ทำให้จำเป็นต้องปรับปรุงโมเดล AI อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการฝึกอบรมใหม่อย่างสม่ำเสมอ แพลตฟอร์มต่างๆ ลงทุนสูงในงานวิจัยและพัฒนา เพื่อให้ระบบควบคุมเนื้อหาสามารถรับมือกับภัยคุกคามใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรักษามาตรฐานด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม ตัวอย่างแพลตฟอร์มชั้นนำอย่าง Facebook, YouTube และ TikTok แสดงความก้าวหน้าในการควบคุมเนื้อหาด้วย AI Facebook ใช้ AI เพื่อค้นหาถ phrases เกลียดชังและข้อมูลเท็จล่วงหน้าก่อนที่ผู้ใช้งานแจ้งรายงาน ขณะที่ YouTube ใช้การเรียนรู้ของเครื่องเพื่อวิเคราะห์ภาพปก คำอธิบาย และเสียง เพื่อระบุเนื้อหาที่ฝ่าฝืนกฎ เช่น ความรุนแรงหรือเนื้อหาสุดโต่ง การดำเนินการเหล่านี้ช่วยลดเนื้อหาที่ละเมิดแนวทางได้อย่างมีนัยสำคัญ กลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิผู้บริโภคและฝ่ายสิทธิดิจิทัลเน้นความจำเป็นในการเปิดเผยข้อมูลการทำงานของ AI และความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ พวกเขาเรียกร้องให้มีแนวทางชัดเจนในการอุทธรณ์และการคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้ในการท้าทายการลบเนื้อหา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญต่อความไว้วางใจระหว่างแพลตฟอร์มและชุมชน อนาคต การผสมผสาน AI ในการควบคุมเนื้อหาคาดว่าจะมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีด้านการประมวลผลภาษาธรรมชาติ วิชันคอมพิวเตอร์ และการวิเคราะห์อารมณ์ ซึ่งจะช่วยให้ AI เข้าใจบริบท การเสียดสี การล้อเลียน และวัฒนธรรมได้ดีขึ้น การร่วมมือระหว่างบริษัทโซเชียลมีเดีย นักนโยบาย และภาคประชาสังคม คาดว่าจะเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานจริยธรรมและกฎระเบียบในการใช้ AI สำหรับการควบคุมเนื้อหาอย่างมีจริยธรรมและมีประสิทธิภาพ โดยสรุป ระบบควบคุมเนื้อหาโดยใช้ AI ถือเป็นก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสำคัญในการบริหารจัดการวิดีโอออนไลน์ ช่วยให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมีเครื่องมือสำคัญในการบังคับใช้แนวทางชุมชนและสร้างพื้นที่ออนไลน์ที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความท้าทายด้านความเป็นธรรม ความถูกต้อง และเสรีภาพในการแสดงออก แนวทางที่สมดุลระหว่างประสิทธิภาพของ AI กับการตัดสินใจของมนุษย์จึงเป็นสิ่งจำเป็น การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะเป็นกุญแจสำคัญในการปรับปรุงระบบเหล่านี้ให้ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ของผู้ใช้ออนไลน์ทุกคน
บริษัทปัญญาประดิษฐ์ของ Elon Musk อย่าง xAI ได้เข้าซื้อกิจการ X Corp.
พันธมิตรสื่อสารด้านความได้เปรียบ (Advantage Media Partners) ซึ่งเป็นเอเจนซี่ด้านการตลาดดิจิทัลตั้งอยู่ในเมืองบีเวอร์ตัน ได้ประกาศการบูรณาการเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัยเข้าในโปรแกรม SEO และการตลาดของบริษัท โดยอาศัยประสบการณ์มากกว่า 15 ปีในฐานะพันธมิตร Google Certified ควบคู่กับปัญญาประดิษฐ์ชั้นนำ เป้าหมายของบริษัทคือช่วยให้ลูกค้าเพิ่มความสามารถในการมองเห็นออนไลน์ทั้งในเครื่องมือค้นหาแบบดั้งเดิมและแพลตฟอร์มค้นพบที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากการใช้ AI เพื่อปรับปรุงบริการด้านการตลาด โฆษณา และบริการที่เกี่ยวข้องแล้ว พันธมิตรสื่อสารด้านความได้เปรียบยังให้ความสำคัญกับปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตที่ถูกกระตุ้นโดยผลการค้นหาโดย AI ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยยิ่งผู้ใช้งานพึ่งพาเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่น ChatGPT และ Google’s AI Overview เว็บไซต์ที่ได้รับการแสดงผลจากแพลตฟอร์มเหล่านี้จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นในการดึงดูดการจราจรกลุ่มใหม่นี้ เพื่อใช้ประโยชน์จากแนวโน้มนี้ พันธมิตรสื่อสารด้านความได้เปรียบจึงได้บูรณาการ AI เข้ากับข้อเสนอ SEO ของตนผ่านกลยุทธ์ที่เรียกว่าการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยเครื่องมือสร้างเนื้อหา (Generative Engine Optimization หรือ GEO) ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ที่รับประกันว่าเว็บไซต์และเนื้อหาจะได้รับการปรับแต่งเพื่อให้ถูกจดจำและส่งเสริมโดยเครื่องมือที่ใช้ AI เช่น ChatGPT และ Google’s AI Overview นอกจากนี้ ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วย AI ยังกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของบริการ SEO ที่ครอบคลุมมากขึ้น เช่น AI ช่วยในการสร้างแท็กชื่อและคำอธิบายที่ปรับแต่งให้เว็บไซต์เป็นที่เด่นในผลการค้นหา รวมทั้งเทคโนโลยี AI ยังถูกนำไปผนวกกับการติดตั้งและตั้งค่าของ Google Analytics เพื่อเฝ้าระวังผลการตลาดแบบเรียลไทม์ และกับการตั้งค่าและติดตั้ง Google Search Console เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ รวมถึง AI ยังถูกใช้ในบริการโครงสร้างข้อมูล schema markup เพื่อเสริมสร้าง SEO ทำให้สามารถปรับแต่งไฟล์ให้เหมาะสมกับบอท AI เช่น ChatGPT เพื่อให้สามารถอ่านและใช้ข้อมูลบนเว็บไซต์ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยประสบการณ์มากกว่า 15 ปีที่เน้นปฏิบัติจริง พันธมิตรสื่อสารด้านความได้เปรียบตระหนักว่า AI เป็นเครื่องมือเสริมสร้างความรู้และความสามารถของมนุษย์ มากกว่าจะมาแทนที่ บริการ SEO และการตลาดด้วย AI ใหม่ของพวกเขามุ่งหวังที่จะเสริมกลยุทธ์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงควบคู่กับบริบทของมนุษย์อย่างสมดุล สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพันธมิตรสื่อสารด้านความได้เปรียบ กรุณาติดต่อทางข้อมูลด้านล่างนี้: ข้อมูลติดต่อ: - ชื่อ: Advantage Media Partners - อีเมล: ส่งอีเมล - องค์กร: Advantage Media Partners - สถานที่ตั้ง: บีเวอร์ตัน รัฐโอเรกอน - เบอร์โทรศัพท์: 888-475-7532 - เว็บไซต์: https://advantagemediapartners
Salesforce ผู้นำระดับโลกด้านซอฟต์แวร์บริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ได้บรรลุความสำเร็จครั้งสำคัญโดยสามารถปิดดีลแบบชำระเงินมากกว่า 1,000 ราย สำหรับแพลตฟอร์มที่เป็นนวัตกรรมของตนเองคือ Agentforce ซึ่งถูกออกแบบให้สร้างตัวแทนเสมือนที่ใช้พลังปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการผนวก AI เข้ากับกระบวนการขาย Agentforce สื่อความพยายามเชิงกลยุทธ์ของ Salesforce ในการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อปฏิวัติแบบจำลองการขายแบบดั้งเดิม ด้วยการนำตัวแทนเสมือนที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้งาน ธุรกิจสามารถเสริมสร้างการติดต่อกับลูกค้า ปรับปรุงเวิร์กโฟลว์ของการขาย และเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม ความสามารถในการจำลองสนทนาแบบมนุษย์และจัดการคำถามซับซ้อนของลูกค้า ทำให้แพลตฟอร์มนี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในกลยุทธ์การขายสมัยใหม่ การที่สามารถปิดดีลแบบชำระเงินได้มากกว่า 1,000 ราย ชี้ให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับโซลูชันการขายที่ขับเคลื่อนด้วย AI องค์กรในหลากหลายภาคส่วนต่างๆ หันมาใช้ Agentforce เพื่อเสริมความสามารถให้กับทีมขายของตนเอง ช่วยให้สามารถสร้างความสัมพันธ์ส่วนบุคคลกับลูกค้าในระดับใหญ่ พร้อมลดต้นทุนปฏิบัติการ การลงทุนของ Salesforce ใน AI สอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมที่ AI กลายเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล ความสำเร็จของ Agentforce แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่จับต้องได้จากการฝัง AI เข้าสู่กระบวนการธุรกิจหลัก เช่น การเพิ่มอัตราเปลี่ยนแปลงของลีด การอัตโนมัติบริการลูกค้า และการให้ข้อมูลวิเคราะห์แบบเรียลไทม์แก่ผู้เชี่ยวชาญด้านฝ่ายขาย ผู้เชี่ยวชาญเน้นว่า ตัวแทนเสมือนที่ใช้ AI ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ให้การตอบสนองที่แม่นยำและสม่ำเสมอต่อคำถามของลูกค้า การให้บริการอย่างต่อเนื่องนี้ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และปล่อยให้ตัวแทนฝ่ายขายมนุษย์มีเวลาไปโฟกัสกับงานที่สร้างความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจที่ซับซ้อน ความสามารถในการขยายตัวของแพลตฟอร์มเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบสำคัญ ช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มระดับการมีส่วนร่วมของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องจ้างพนักงานเพิ่มในอัตราที่สอดคล้องกัน ประสิทธิภาพนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในตลาดที่การแข่งขันสูงซึ่งความรวดเร็วในการตอบสนองและความเป็นส่วนตัวเป็นปัจจัยหลักในการชนะดีล นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นของ Salesforce ในการรวม AI เข้ากับระบบนิเวศของตน สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์สำหรับอนาคตของซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร โดยการฝังเครื่องมือ AI เช่น Agentforce ไปในชุดผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัท ลูกค้าจะสามารถใช้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปรับปรุงเวิร์กโฟลว์ และบรรลุผลทางธุรกิจที่วัดผลได้ องค์กรที่เป็นกลุ่มแรกที่นำ AI มาใช้รายงานว่ามีอัตราการเปลี่ยนแปลงของลีดดีขึ้น และทีมงานขายมีกำลังผลิตที่มากขึ้น ระบบวิเคราะห์ของแพลตฟอร์มให้ข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ เข้าช่วยให้กรรมการบริหารและทีมงานสามารถปรับกลยุทธ์การขายและจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสรุป ความสำเร็จของ Salesforce ในการปิดดีลมากกว่า 1,000 รายด้วย Agentforce ถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญในการนำ AI เข้ามาใช้ในระดับการขาย เมื่อธุรกิจเผชิญกับสภาพแวดล้อมลูกค้าที่ซับซ้อนมากขึ้น เครื่องมืออย่าง Agentforce จึงเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยผสมผสานนวัตกรรมเทคโนโลยีกับการใช้งานที่เป็นประโยชน์ พัฒนาการอย่างต่อเนื่องของตัวแทนเสมือนที่ขับเคลื่อนด้วย AI คาดว่าจะเปลี่ยนแปลงแนวทางการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้ในอนาคต
ในหัวใจของแมนฮัตตัน ใกล้ร้าน Apple และสำนักงานใหญ่ของ Google ที่นิวยอร์ก โปสเตอร์บนป้ายรถเมล์ล้อเลียนบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ด้วยข้อความเช่น “ปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถสร้างทรายระหว่างนิ้วเท้าได้” และ “ไม่มีใครบนเตียงสุดท้ายบอกว่า: ฉันหวังว่าจะใช้เวลากับโทรศัพท์มากขึ้น” โฆษณาเหล่านี้จาก Polaroid ซึ่งโปรโมทกล้องฟิล์อานอลิก Flip โอบรับประสบการณ์แบบรู้สึกสัมผัสและคิดถึงความโรแมนติก Patricia Varella ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ Polaroid เน้นความอนุญาตให้แบรนด์มีสิทธิ์ “เป็นเจ้าของการสนทนา” เกี่ยวกับความแท้จริงของกล้องอนาล็อก ความรู้สึกต่อต้านปัญญาประดิษฐ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มกว้างขึ้น ทั่วโลก แบรนด์ต่าง ๆ เปิดตัวแคมเปญที่สะท้อนความเหนื่อยล้าของผู้บริโภคต่อปัญญาประดิษฐ์ Heineken ลงป้ายบิวท์บอร์ดในนิวยอร์กเชิญชวนให้คนทำมิตรภาพ “ผ่านเบียร์” แทนที่จะผ่าน AI แบรนด์ชุดชั้นใน Aerie ประกาศว่าจะไม่ใช้ AI ในโฆษณาของตน—โพสต์ยอดนิยมบน Instagram เมื่อปีที่ผ่านมา ในอินเดีย Cadbury 5 Star เปิดตัวแคมเปญ “ทำ AI ให้ธรรมดาอีกครั้ง” ซึ่งมุ่งหวังจะกลบเสียงที่มาจากอัลกอริทึมเก็บข้อมูลด้วยความไร้สาระ เช่นเดียวกับ Jim Lee จาก DC Comics ได้ประกาศว่ายังไม่มีการสนับสนุนการสร้างเรื่องราวหรือภาพวาดโดย AI การตอบโต้เหล่านี้เป็นการรับมือกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้าน AI ที่เพิ่มขึ้น หลายคนในรุ่น Z ตราหน้า AI ว่าไม่ใช่มิตรและมีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจิต รวมถึงพนักงานในอเมริกาใต้ที่ต่อต้านความกดดันให้ใช้ AI ที่ทำงาน แต่อย่างไรก็ดี บริษัทต่าง ๆ ก็ถูกล่อใจด้วยสัญญาของ AI ในเรื่องของการลดต้นทุนและประหยัดเวลา ทำให้แบรนด์ต้องเลือกข้าง อย่างไรก็ตาม โฆษณาที่สร้างด้วย AIก็ถูกวิจารณ์อย่างหนัก โฆษณาเทศกาลปีใหม่ของ Coca-Cola ที่ใช้ AI สร้างฉากรถบรรทุกและหมีขั้วโลก รวมถึงโฆษณาของ Toys "R" Us ที่นำเสนอการ์ตูนก่อตั้งเป็นเด็ก ถูกมองว่าไร้จิตวิญญาณและเป็นเพียงสำเนาที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ แบรนด์อย่าง H&M Skechers และ Guess ก็ถูกโจมตีสำหรับการใช้ AI ในการสร้างตัวแทนจำหน่ายแทนโมเดลมนุษย์ ในทางตรงกันข้าม บางแบรนด์เน้นความแท้จริง Haley Hunter จาก Party Land ซึ่งเป็นเอเจนซี่เน้นเรื่องคอมเมดี้ที่ทำงานร่วมกับ Liquid Death และ Twitch เน้นว่าผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการเนื้อหาที่ “ไม่ปรุงแต่ง ไม่อวดดี แน่ใจว่าเป็นของจริง” และยังไม่เชื่อมั่นในแบรนด์ที่สร้างด้วย AI สนับสนุนแนวความคิดดังกล่าว การสำรวจของ Pew Research เมื่อกันยายนที่ผ่านมาเปิดเผยว่า 50% ของชาวอเมริกันมีท่าทีระวังมากกว่าตื่นเต้นต่อการเพิ่มขึ้นของ AI เพิ่มขึ้นจาก 37% ในปี 2021 ร้อยละ 57 มองว่ามีความเสี่ยงต่อสังคม โดยเฉพาะด้านการเสื่อมถอยของทักษะและความสัมพันธ์ของมนุษย์ แม้หลายคนต้องการแยกแยะระหว่างเนื้อหาที่สร้างด้วย AI กับของมนุษย์ แต่มีเพียง 12% เท่านั้นที่รู้สึกมั่นใจในการทำเช่นนั้น แบรนด์เสื้อผ้า Aerie ซึ่งเน้นการใช้ “คนจริงเท่านั้น” ในโฆษณาก็สอดคล้องกับแนวความคิดนี้ โดยยังคงยืนหยัดไม่ใช้การแต่งภาพมานานกว่าทศวรรษ Chief Marketing Officer Stacey McCormick หวังว่า ข้อความต่อต้าน AI ของพวกเขาจะเป็นแรงบันดาลใจให้บริษัทอื่น ๆ ซื่อสัตย์มากขึ้น ถึงแม้โฆษณาที่สร้างด้วย AIจะดึงดูดความสนใจ แต่ก็ยังขาดความเชื่อมโยงทางอารมณ์ Ian Forrester CEO ของบริษัททดสอบความคิดสร้างสรรค์ DAIVID พบว่า โฆษณาที่สร้างด้วย AI ของแบรนด์อย่าง Volvo, Microsoft และ Puma ทำให้ผู้ชมสนใจและจำแบรนด์ได้มากกว่าปกติเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกเชิงบวกสูงสุดน้อยลง 3% และความไม่ไว้ใจเพิ่มขึ้น 12% ผลการวิจัยของ NielsenIQ ในปี 2024 ก็สะท้อนถึงความล้มเหลวของ AI ในการกระตุ้นความทรงจำ โดยเฉพาะในโฆษณาที่มีใบหน้าและการเชื่อมโยงกับมนุษย์ Megan Belden จาก NielsenIQ อธิบายว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณในการตรวจจับ “ความแท้” อย่างละเอียดอ่อน ทำให้การแสดงออกทางสีหน้าของมนุษย์ที่สร้างด้วย AI ดู “ผิดแปลก” แม้ว่าโฆษณาที่ใช้ AI อย่างเต็มรูปแบบยังอยู่ใน “หุบเขาที่น่าขนลุก” แต่ในตอนนี้ AI กับโฆษณาแทบแยกออกจากกันไม่ได้ ตัวแทนฝ่ายเอเจนซี่เสนอตัวว่าเป็นที่ปรึกษาช่วยให้การใช้งาน AI ของนักการตลาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับปลดปล่อยทีมสร้างสรรค์ให้เน้นงานศิลปะที่มนุษย์เป็นผู้ออกแบบ ธุรกิจต่าง ๆ ต้องสมดุลการนำ AI มาใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะการปฏิเสธ AI อาจเสี่ยงต่อการเสียเปรียบในการแข่งขัน ในตอนนี้ ข้อความต่อต้าน AI ก็ชนะใจในบางกลุ่มธุรกิจ โดยแบรนด์ต่าง ๆ ย้ำความเป็น “ของจริง” Varella จาก Polaroid กล่าวเสริมว่า “มีบางสิ่งในธรรมชาติของเรา คือความเป็นอนาล็อก—ชั้นของความไม่สมบูรณ์แบบที่ทำให้เราเป็นมนุษย์และสวยงามในความไม่สมบูรณ์แบบ—สิ่งเหล่านี้เราควรเตือนคนเสมอ”
บริษัท Hitachi, Ltd.
MarketOwl AI ได้เปิดตัวชุดตัวแทน AI ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งออกแบบมาเพื่อจัดการภารกิจด้านการตลาดโดยอัตโนมัติ โดยเสนอทางเลือกนวัตกรรมที่อาจแทนที่แผนกการตลาดแบบดั้งเดิมในกิจการขนาดเล็กและกลาง (SMEs) การเปิดตัวนี้สอดคล้องกับแนวโน้มที่ธุรกิจต่าง ๆ ใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์เพื่อปรับปรุงกระบวนการ ลดต้นทุน และขยายขอบเขตตลาดอย่างกว้างขวาง ในปัจจุบัน MarketOwl AI มีตัวแทน AI ที่พัฒนาขึ้นเต็มรูปแบบถึงสองตัวคือ AI LeadGen และ AI SMM Marketer ซึ่งมุ่งเน้นสนับสนุนด้านการตลาด B2B โดยเฉพาะ AI LeadGen เชี่ยวชาญด้านการระบุและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเป้าหมายด้วยกลยุทธ์ cold outreach ที่ทันสมัย ช่วยให้ขยายฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วน AI SMM Marketer จัดการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยการสร้างและวางแผนเนื้อหา รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วม เพื่อเสริมสร้างการมองเห็นและการเติบโตของแบรนด์ ด้วยการทำงานอัตโนมัติของฟังก์ชันสำคัญเหล่านี้ ตัวแทนเหล่านี้ช่วยให้ SME ลดการพึ่งพาทีมการตลาดแบบทรัพยากรสูง โดยทำงานอย่างต่อเนื่องและปรับตัวตามสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลง ทำให้สามารถตอบสนองและขยายได้ยากที่จะทำได้ด้วยมือเปล่า ในอนาคต MarketOwl AI วางแผนที่จะขยายชุด AI ด้วยตัวแทนเพิ่มเติมอีกสองตัวคือ AI SEO Manager และ CMO Bot โดย AI SEO Manager มุ่งเน้นปรับปรุงสถานะออนไลน์ของธุรกิจด้วยการเพิ่มอันดับการค้นหา และการเพิ่มจำนวนการเข้าชือเว็บไซต์แบบ organic รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญดิจิทัล ส่วน CMO Bot ถูกวางไว้เป็นผู้บริหารการตลาดเสมือนจริง ที่สามารถวางกลยุทธ์ ดูแลกิจกรรมด้านการตลาด วิเคราะห์แนวโน้ม และชี้นำธุรกิจให้ทำการตลาดอย่างชาญฉลาด เครื่องมือเหล่านี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างของการบูรณาการ AI เข้าสู่บทบาทเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจ ซึ่งเน้นความสำคัญของเทคโนโลยีในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและเร่งการเติบโต ตัวแทนการตลาดด้วย AI ของ MarketOwl AI ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในเทคโนโลยีการตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ SME ที่มักจะเผชิญกับข้อจำกัดด้านทรัพยากรการตลาด การอัตโนมัติภารกิจ routine แต่สำคัญเช่นการสร้าง leads และการจัดการโซเชียลมีเดีย ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยให้ทีมงานมนุษย์สามารถโฟกัสไปที่ความคิดสร้างสรรค์และกลยุทธ์ เมื่อเทคโนโลยี AI พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผลกระทบต่อการตลาดก็ย่อมเป็นอย่างมาก—สามารถทำแคมเปญที่ซับซ้อนโดยอัตโนมัติ วิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ และสร้างกลยุทธ์ที่ปรับเปลี่ยนได้ซึ่งเปลี่ยนแปลงการมีส่วนร่วมของลูกค้า ความคิดริเริ่มของ MarketOwl AI ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในฐานะพันธมิตรสำคัญในการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับภูมิทัศน์ดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยความคล่องตัวและต้นทุนที่คุ้มค่า โดยสรุป การใช้งาน AI LeadGen และ AI SMM Marketer ของ MarketOwl AI ควบคู่กับตัวแทนที่จะตามมาคือ AI SEO Manager และ CMO Bot จัดวางตำแหน่งบริษัทให้อยู่ในแนวหน้าของโซลูชันการตลาดด้วย AI ซึ่งการนำเสนอนี้มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางการตลาดสำหรับ SME ให้เข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงได้ง่ายขึ้นและใช้งานได้จริง เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้พัฒนาเต็มที่ พวกมันก็จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนและได้เปรียบในการแข่งขันในยุคดิจิทัล
Launch your AI-powered team to automate Marketing, Sales & Growth
and get clients on autopilot — from social media and search engines. No ads needed
Begin getting your first leads today