Nvidia ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีกราฟิกและปัญญาประดิษฐ์ ประกาศเข้าซื้อกิจการ SchedMD ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่เชี่ยวชาญด้านโซลูชันซอฟต์แวร์ AI การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์นี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างตำแหน่งของ Nvidia ในภาค AI แบบโอเพนซอร์ส โดยการผนึกเทคโนโลยีล้ำสมัยของ SchedMD เข้ากับระบบนิเวศน์อันกว้างขวางของบริษัท SchedMD เป็นที่รู้จักดีที่สุดในฐานะผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Slurm ซึ่งเป็นเครื่องมือบริหารจัดการงานแบบโอเพนซอร์สที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน computing ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Slurm มีบทบาทสำคัญในการจัดการและวางตารางงานที่ซับซ้อนในคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ จึงเป็นสิ่งจำเป็นในสภาพแวดล้อมความสามารถสูง การนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้อย่างแพร่หลายทั่ววงการการศึกษา รัฐบาล และอุตสาหกรรมซึ่งงานคำนวณขนาดใหญ่เป็นสิ่งสำคัญ ตามประกาศ Nvidia วางแผนจะบรรจุ Slurm เข้าไปในเครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ของตน เพื่อเสริมความสามารถให้กับนักพัฒนาและนักวิจัยในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแบบโอเพนซอร์สในการทำโปรเจกต์ AI แม้จะมีการเข้าซื้อกิจการ แต่ Nvidia ได้รับประกันชุมชนและผู้ใช้งานในปัจจุบันว่าการพัฒนาของ Slurm จะยังคงเป็นโอเพนซอร์ส เพื่อรักษามรดกด้านความสามารถในการเข้าถึง และการพัฒนาแบบร่วมมือกัน ซึ่งรับประกันการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและนวัตกรรมจาก Nvidia ควบคู่ไปกับชุมชนโอเพนซอร์ส บริษัท SchedMD ก่อตั้งในปี 2010 มีสำนักงานใหญ่ที่ Livermore รัฐแคลิฟอร์เนีย มีทีมงานประมาณ 40 คน เน้นพัฒนารวมถึงสนับสนุน Slurm และผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์อื่นๆ ตลอดเวลา SchedMD ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะผู้ให้บริการเครื่องมือบริหารการจัดการงานที่เชื่อถือได้ โดยมีลูกค้าเป็นที่รู้จักอย่าง CoreWeave ผู้ให้บริการคลาวด์ที่เชี่ยวชาญด้าน GPU และ Barcelona Supercomputing Center หนึ่งในสถาบันวิจัยด้านการคอมพิวเตอร์ขั้นสูงชั้นนำในยุโรป แม้ Nvidia จะไม่เปิดเผยรายละเอียดทางการเงินของการเข้าซื้อกิจการ แต่ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมองว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์โดยรวมของ Nvidia เพื่อเสริมสร้างฐานในตลาด AI และการคำนวณประสิทธิภาพสูง ด้วยการผนึกเทคโนโลยีของ SchedMD Nvidia มุ่งหวังที่จะนำเสนอโซลูชันที่แข็งแกร่งและสามารถขยายได้มากขึ้นแก่ลูกค้า ซึ่งจะช่วยให้การประมวลผลงาน AI เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเข้าซื้อกิจการนี้สะท้อนแนวโน้มที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ลงทุนในแพลตฟอร์มแบบโอเพนซอร์สเพื่อสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมและความร่วมมือในชุมชน ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สเช่น Slurm ส่งเสริมความโปร่งใส ความยืดหยุ่น และความรวดเร็วในการพัฒนา ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในสาขาเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมให้ข้อมูลเชิงบวกเกี่ยวกับข่าวนี้ โดยเน้นว่าการสนับสนุนของ Nvidia อาจเร่งการพัฒนาและการนำ Slurm ไปใช้มากขึ้น ด้วยทรัพยากรและความเชี่ยวชาญของ Nvidia ซอฟต์แวร์นี้จะสามารถตอบสนองความต้องการของความท้าทายในยุคคอมพิวเตอร์รุ่นต่อไปได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การเข้าซื้อกิจการนี้ยังสอดคล้องกับภารกิจของ Nvidia ที่ต้องการเพิ่มพลังให้กับนักพัฒนาและนักวิจัยด้วยเครื่องมือขั้นสูง การบูรณาการ Slurm เข้ากับแพลตฟอร์มของ Nvidia อย่างลึกซึ้ง มีแนวโน้มที่จะทำให้การจัดการงานคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนง่ายขึ้น ลดภาระงานซ้ำซ้อน และเพิ่มผลผลิตในด้านการวิจัย AI วิทยาศาสตร์ข้อมูล และแอปพลิเคชันอื่นๆ ทั้งนี้ Workforce และการดำเนินงานของ SchedMD จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมงานที่มีอยู่ของ Nvidia และอาจสร้างประสิทธิภาพร่วมกันในการพัฒนาคุณสมบัติใหม่ รวมถึงการสนับสนุนลูกค้าที่ดีขึ้น สรุปแล้ว การเข้าซื้อกิจการของ Nvidia ต่อ SchedMD เป็นก้าวสำคัญในวงการซอฟต์แวร์ AI โดยการรักษา Slurm ให้เป็นโอเพนซอร์ส Nvidia ให้เกียรติหลักการของชุมชนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของซอฟต์แวร์นี้ พร้อมกับสัญญาเติมพลังและทรัพยากรใหม่ การเข้าซื้อครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่สถาบันวิจัยขนาดใหญ่จนถึงเอกชน ช่วยขับเคลื่อนความก้าวหน้าในด้านปัญญาประดิษฐ์และคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงต่อไปในอนาคต
ผู้นำธุรกิจในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ยังคงมองว่าปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (AI) เป็นแรงผลักดันแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สามารถปรับโฉมการดำเนินงาน การมีส่วนร่วมของลูกค้า และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความตื่นเต้นกันอย่างแพร่หลายและการนำไปใช้ที่รวดเร็วจากการเปิดตัวของ ChatGPT เมื่อสามปีก่อน หลายองค์กรยังคงเผชิญกับความยากลำบากในการสร้างผลตอบแทนที่เป็นนัยสำคัญและต่อเนื่องจากโครงการ AI ของพวกเขา สำรวจล่าสุดจากบริษัทวิจัยชั้นนำอย่าง Forrester และ Boston Consulting Group (BCG) ชี้ให้เห็นความเป็นจริงที่น่าตกใจ: มีเพียงส่วนน้อยของบริษัทเท่านั้น—ประมาณ 15% สำหรับ Forrester และ 5% สำหรับ BCG—ที่สามารถบรรลุการปรับปรุงผลลัพธ์ทางธุรกิจที่มีนัยสำคัญจากความพยายามด้าน AI เชิงสร้างสรรค์ของพวกเขา ความสำเร็จที่จำกัดนี้เกิดจากความท้าทายที่ยังดำเนินอยู่หลายประการของเทคโนโลยี AI เชิงสร้างสรรค์ หนึ่งในปัญหาหลักคือแนวโน้มของ AI ที่จะให้คำตอบที่เห็นด้วยหรือเรียบง่ายเกินไป มักขาดความละเอียดอ่อนเชิงวิจารณ์ หรือไม่สามารถท้าทายข้อมูลเบื้องต้นได้เพียงพอ ซึ่งทำให้ความลึกและความน่าเชื่อถือของข้อมูลเชิงลึกที่ AI สร้างขึ้นลดลง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนในการให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำก็ทำให้การใช้งานในทางปฏิบัติซับซ้อน โดยเฉพาะเมื่อจัดการกับเอกสารที่ซับซ้อน ยาว หรือเฉพาะด้าน ตัวอย่างในโลกความจริงอธิบายถึงอุปสรรคเหล่านี้ เช่น ระบบแนะนำไวน์อัจฉริยะของ CellarTracker ที่ต่อสู้กับการตีความความชอบของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำท่ามกลางคำศัพท์ไวน์ที่หลากหลายและความแตกต่างอย่างละเอียดอ่อน ในขณะที่เครื่องมือ AI ของ Cando Rail ที่ออกแบบมาเพื่อสรุปกฎระเบียบด้านความปลอดภัย ก็ประสบกับความท้าทายในการรักษาความแม่นยำในข้อความกฎระเบียบจำนวนมาก การบริการลูกค้าถือเป็นหนึ่งในแอปพลิเคชันที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นสำหรับเทคโนโลยีแชทบอท เช่น บริษัทอย่าง Klarna และ Verizon ได้ใช้แชทบอท AI เพื่อจัดการคำถามพื้นฐาน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดต้นทุน อย่างไรก็ตาม ก็มีการตระหนักมากขึ้นว่า AI ไม่สามารถทดแทนเจ้าหน้าที่มนุษย์ในด้านการจัดการกับการสื่อสารที่ซับซ้อน อ่อนไหว หรือมีความละเอียดอ่อนมากนัก ความขาดแคลนความเห็นอกเห็นใจแบบมนุษย์และความสามารถในการเข้าใจบริบทที่ละเอียดอ่อนเป็นข้อจำกัดของ AI ในกรณีเหล่านี้ จึงทำให้การมีผู้ดูแลมนุษย์อยู่เสมอเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญอธิบายสถานะปัจจุบันของ AI เชิงสร้างสรรค์ว่าเป็น “แนวเขตที่ขรุขระ” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่ไม่สม่ำเสมอในแต่ละกรณีการใช้งาน ในขณะที่ AI ทำงานได้ดีในบางภารกิจ เช่น การสร้างภาษาและการสรุปข้อมูล มันยังคงลำบากกับกิจกรรมที่ต้องการความเข้าใจในบริบทลึกซึ้งหรือความรู้เฉพาะทาง ความท้าทายในการตีความข้อมูลภูมิศาสตร์หรือวลีในภาษาพูดที่เกี่ยวข้องกับเวลาเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาและปรับปรุงต่อไป เพื่อรับมือกับอุปสรรคเหล่านี้และเพิ่มมูลค่าของ AI บริษัทต่าง ๆ ลงทุนอย่างมากในการสร้างความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างทีมภายในและผู้ให้บริการเทคโนโลยี AI ผู้นำในอุตสาหกรรมอย่าง OpenAI และ Anthropic รวมถึงสตาร์ทอัปนวัตกรรมอย่าง Writer กำลังฝังวิศวกรของพวกเขาเข้าไปในองค์กรลูกค้าเพื่อร่วมสร้างโซลูชัน AI ที่ปรับแต่งตามความต้องการทางธุรกิจและเวิร์กโฟลว์เฉพาะด้าน เสียงส่วนใหญ่ในวงการธุรกิจและเทคโนโลยีเห็นด้วยว่าถ้าแม้ว่า AI เชิงสร้างสรรค์จะเต็มไปด้วยศักยภาพอันมหาศาล การที่จะทำให้มันเต็มที่และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องมีการประยุกต์ใช้อย่างเน้นย้ำ การมีส่วนร่วมของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง และความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงกระบวนการและทักษะเดิม ๆ อย่างมาก AI เชิงสร้างสรรค์ควรเป็นเครื่องมือส่งเสริมที่ทรงพลังมากกว่าคำตอบเดียวที่ใช้ได้เพียงอย่างเดียว ด้วยกลยุทธ์ที่รอบคอบและความพยายามอย่างต่อเนื่อง องค์กรสามารถพัฒนาจากการทดลองเบื้องต้นไปสู่การบรรลุผลลัพธ์ทางธุรกิจที่วัดผลได้ สุดท้าย AI จะกลายเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของความได้เปรียบในการแข่งขันในอนาคต
ในสภาพแวดล้อมของการทำงานระยะไกลและการสื่อสารผ่านระบบเสมือนจริงที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน แพลตฟอร์มวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ได้พัฒนาขึ้นอย่างมากโดยการผสมผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขั้นสูง การพัฒนาเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้และสร้างความสะดวกในการทำงานร่วมกันระยะไกลที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นทั่วโลก หนึ่งในความก้าวหน้าที่โดดเด่นที่สุดที่ขับเคลื่อนด้วย AI คือการแปลภาษาทันที ความสามารถนี้ให้ผู้เข้าร่วมที่พูดภาษาแตกต่างกันสามารถสื่อสารกันได้อย่างง่ายดายด้วยการแปลคำพูดแบบเรียลไทม์ในระหว่างการประชุม การขจัดอุปสรรคด้านภาษาเหล่านี้ช่วยส่งเสริมความร่วมมือที่ครอบคลุมและหลากหลายมากขึ้น ทำให้ทีมจากภูมิภาคและวัฒนธรรมต่าง ๆ สามารถทำงานร่วมกันโดยไม่ถูกขัดขวางด้วยความแตกต่างด้านภาษา ความก้าวหน้านี้ไม่เพียงแต่ขยายโอกาสธุรกิจทั่วโลก แต่ยังส่งเสริมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมในระดับเสมือนจริงอีกด้วย อีกหนึ่งความก้าวหน้าที่เปลี่ยนแปลงวงการคือการอัตโนมัติในการสรุปการประชุม โดยทั่วไปแล้ว ผู้เข้าร่วมประชุมจะต้องจดบันทึกหรือบันทึกประเด็นสำคัญในระหว่างการประชุม ซึ่งอาจทำให้เกิดความรำคาญและไม่ต่อเนื่อง แต่ตอนนี้บริการถอดเสียงที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถบันทึกบทสนทนาอย่างแม่นยำและวิเคราะห์เนื้อหาของการสนทนาเพื่อสร้างสรุปที่กระชับและเข้าใจง่าย การสรุปอัตโนมัติดังกล่าวเน้นข้อมูลสำคัญ เช่น การตัดสินใจที่สำคัญ รายการที่ต้องดำเนินการ และข้อคิดเห็นหลัก ๆ ซึ่งช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถทบทวนเนื้อหาได้โดยไม่ต้องเสียเวลาฟังบันทึกเสียงนาน ๆ หรือค้นหาจากบันทึก การใช้งานฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยทำให้สมาชิกในทีมทุกคนได้รับข้อมูลและสื่อสารกันอย่างเข้าใจ ถึงแม้บางคนจะพลาดบางช่วงในที่ประชุมก็ตาม นอกจากนี้ เบื้องหลังของการประชุมแบบเสมือนจริงที่ใช้เทคโนโลยี AI ยังมีการปรับปรุงด้วยการสร้างฉากหลังเสมือนจริงที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างอัจฉริยะ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ภาพลักษณ์ดูดีขึ้น แต่ยังปกป้องข้อมูลส่วนตัวและลดความรบกวนจากสิ่งรอบข้าง โดยเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถแยกแยะระหว่างบุคคลและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ด้วยการสร้างภาพพื้นหลังที่มีคุณภาพสูงและเคลื่อนไหวได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้จอเขียวหรืออุปกรณ์เสริมมากมาย ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ทำงานระยะไกลที่ไม่มีพื้นที่ทำงานระดับมืออาชีพหรือเงียบสงบ ช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าร่วมประชุมด้วยความมั่นใจและมืออาชีพมากขึ้น ร่วมกันแล้ว ฟีเจอร์เหล่านี้ของ AI มุ่งหวังจะทำให้การทำงานร่วมกันทางไกลเป็นไปอย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ และเข้าถึงง่ายมากขึ้น ในขณะที่การประชุมผ่านวิดีโอมีความสำคัญต่อธุรกิจ สถาบันการศึกษา และการสื่อสารในสังคม การพัฒนา AI ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ยิ่งมีความสำคัญและต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงความชัดเจนในการสื่อสาร ช่วยให้งานเอกสารเป็นไปอย่างง่ายดาย และปรับแต่งสิ่งแวดล้อมของผู้ใช้ ฟีเจอร์เหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงประสบการณ์การประชุมเสมือนจริงในอนาคต ในอนาคต เทคโนโลยี AI ยังมีแนวโน้มที่จะพัฒนาต่อเนื่องด้วยความสามารถใหม่ ๆ เช่น การจดจำอารมณ์ซับซ้อนเพื่อประเมินความสนใจของผู้เข้าร่วม การมีตัวกลั่นกรองในตัวเพื่อช่วยนำทางการสนทนาและรักษาเป้าหมายของการประชุม และผู้ช่วยด้านการนัดหมายอัจฉริยะเพื่อปรับแต่งเวลาการประชุมให้เหมาะสมกับเขตเวลาต่าง ๆ การผสมผสานระหว่าง AI กับเทคโนโลยีการประชุมทางวิดีโอจะเป็นสัญญาณของยุคสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงวงการสำหรับการสื่อสารระยะไกลที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพความร่วมมือในระดับโลกได้อย่างมากมาย สรุปแล้ว การบูรณาการความสามารถของ AI เช่น การแปลภาษาแบบเรียลไทม์ การสรุปการประชุมอัตโนมัติ และการสร้างฉากหลังเสมือน เป็นก้าวสำคัญในเทคโนโลยีการประชุมผ่านวิดีโอ ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาที่มักพบโดยทีมงานระยะไกล ทำให้การประชุมเสมือนมีความครอบคลุม ผลิตผล และใช้งานง่ายมากขึ้น ต่อเมื่ อองค์กรต่าง ๆ ยังคงนำวิธีการทำงานแบบผสมผสานและระยะไกลมาใช้ การนำเครื่องมือวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดอนาคตแห่งการสื่อสารและความร่วมมือในยุคใหม่
คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) มีความตั้งใจที่จะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขั้นสูงมาใช้ในมหกรรมโอลิมปิกที่จะเกิดขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและยกระดับประสบการณ์ของผู้ชม เทคโนโลยี AI นี้จะเปิดตัวครั้งแรกในงานโอลิมปิกฤดูหนาว พ.ศ.
ประกาศ Zeta Global จะจัดโปรแกรมพิเศษในงาน CES 2026 พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีการตลาดด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และวิวัฒนาการของ Athena 15 ธันวาคม 2025 – ลาสเวกัส – Zeta Global (NYSE: ZETA) ผู้ให้บริการคลาวด์ด้านการตลาดด้วย AI เปิดเผยแผนงานสำหรับงาน CES 2026 โดยจะมีการจัดงานแฮปปี้อ hour แบบพิเศษ และสนทนาไฟร์ไซด์ในชุด Athena ของบริษัท Dan Ives ประธานของ Eightco และนักวิเคราะห์เทคโนโลยีชื่อดัง จะร่วมพูดคุยกับ David A
ในโลกดิจิทัลบันเทิงที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริการสตรีมมิ่งกำลังนำเทคนิคการบีบอัดวิดีโอโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาประยุกต์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ วิธีการขั้นสูงเหล่านี้ช่วยเพิ่มคุณภาพของเนื้อหาวิดีโอ ส่งผลให้การสตรีมเป็นไปอย่างไร้รอยต่อทั่วโลกโดยไม่ขึ้นอยู่กับความเร็วอินเทอร์เน็ต โดยเดิม การบีบอัดวิดีโอจะใช้อัลกอริทึมแบบธรรมดาเพื่อช่วยลดขนาดไฟล์ แต่มักมีปัญหาในการสมดุลการใช้งานข้อมูลกับคุณภาพภาพ โดยเฉพาะเมื่อเชื่อมต่อช้า หรือไม่เสถียร ทำให้ต้องเจอกับการบัฟเฟอร์และความละเอียดต่ำลง การบีบอัดด้วย AI เปลี่ยนแปลงสิ่งนี้โดยใช้การเรียนรู้ของเครื่องในการวิเคราะห์เนื้อหาวิดีโอ—พิจารณาการเคลื่อนไหว โครงสร้าง และการเปลี่ยนภาพในฉาก เพื่อเลือกส่วนที่ต้องรักษาคุณภาพไว้สูง และส่วนที่สามารถบีบอัดได้มากขึ้นโดยไม่เห็นความผิดเพี้ยนในคุณภาพมากนัก ด้วยการปรับแต่งการบีบอัดแบบเรียลไทม์อย่างเป็นธรรมชาติ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งสามารถส่งข้อมูลน้อยลงในขณะเดียวกันก็รักษาภาพให้คมชัดและชัดเจน ทำให้การเล่นเป็นไปอย่างราบรื่น โหลดเร็วขึ้น และลดการสะดุด แม้ในขณะที่แบนด์วิดธ์จำกัดหรืออาจมีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ การบีบอัดด้วย AI ยังปรับตัวเข้ากับอุปกรณ์และขนาดหน้าจอที่หลากหลาย—from สมาร์ทโฟน ถึง สมาร์ททีวี—เพื่อให้มั่นใจว่าการส่งวิดีโอเป็นไปอย่างดีที่สุดและสร้างความพึงพอใจให้ผู้ใช้มากขึ้น สำหรับผู้ให้บริการสตรีมมิ่ง เทคโนโลยีนี้ช่วยลดการใช้แบนด์วิดธ์และต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้โครงสร้างพื้นฐานง่ายขึ้นและเอื้อต่อการขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีเงื่อนไขการเชื่อมต่อที่แตกต่างกัน ประสิทธิภาพนี้ยังสามารถปรับปรุงการเข้าถึงเนื้อหา ช่วยลดช่องว่างด้านดิจิทัลและทำให้ความบันเทิงกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั่วโลก ด้วยความต้องการเนื้อความละเอียดสูงและความละเอียดระดับ 4K ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เครือข่ายข้อมูลเกิดภาระมากขึ้น การบีบอัดด้วย AI จึงเป็นนวัตกรรมสำคัญที่ผสมผสานปัญญาประดิษฐ์กับกระบวนการวิดีโอขั้นสูง เพื่อสร้างระบบนิเวศการสตรีมมิ่งที่พร้อมในอนาคต นักวิจัยคาดว่าการศึกษาเพิ่มเติมจะช่วยพัฒนาโมเดลเหล่านี้ให้ดีขึ้น รวมถึงการนำอัลกอริทึมทำนายพฤติกรรมผู้ใช้และปัจจัยแวดล้อม มาใช้เพื่อปรับการสตรีมที่เป็นเอกลักษณ์และเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยสรุป การนำเทคนิคการบีบอัดวิดีโอโดยใช้ AI มาใช้ เป็นก้าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงวงการสตรีมมิ่งดิจิทัล ด้วยการปรับการใช้งานข้อมูลให้เข้ากับความซับซ้อนของวิดีโอและสภาพเครือข่าย เทคโนโลยีเหล่านี้ตั้งมาตรฐานใหม่ด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และการเข้าถึง โดยมอบความบันเทิงที่น่าดึงดูดและเชื่อถือได้ให้ผู้ชมทั่วโลก ไม่ว่าอินเทอร์เน็ตของพวกเขาจะมีข้อจำกัดอย่างไร
เมื่อเข้าสู่ช่วงเทศกาลวันหยุด AI กำลังกลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวด้านการช็อปปิ้งที่ได้รับความนิยม ข้อมูลจาก Salesforce คาดการณ์ว่า AI จะมีอิทธิพลต่อคำสั่งซื้อในช่วงวันหยุดทั่วโลกถึง 21% คิดเป็นยอดขายถึง 263 พันล้านดอลลาร์ ผู้ช็อปปิ้งมีแนวโน้มที่จะพึ่งพา AI มากขึ้นในการตัดสินใจเลือกของขวัญ ค้นหาราคาที่ดีที่สุด และผ่านความร่วมมือกับผู้ค้าปลีกใหม่ ๆ ก็สามารถทำการซื้อแทนได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนให้ผู้บริโภคระวัง ก่อนให้ AI เป็นผู้ควบคุมการใช้จ่ายของตนเอง นาจิบา เบนาบัส โฆษกสมาคมแห่งมหาวิทยาลัยนอยมัน บอกว่า AI ทำหน้าที่เป็นทั้งตัวเร่งและผู้ควบคุมการใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับการใช้งาน มันมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคโดยการทำให้การตัดสินใจซื้อสะดวกขึ้นผ่านคำแนะนำแบบส่วนตัว การตั้งราคาที่เปลี่ยนแปลงได้ และการช็อปด้วยคลิกเดียว ซึ่งลดภาระทางความคิดและสามารถกระตุ้นให้เกิดการซื้อโดยพลัน โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย งานเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมแสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจที่ง่ายดายมักนำไปสู่การใช้จ่ายมากขึ้น ข้อมูลจาก Adobe Analytics ยืนยันว่าสถานะของการใช้งาน AI แบบสร้างเนื้อหา เพิ่มขึ้นถึง 1,200% เมื่อเทียบปีต่อปีในเดือนตุลาคม โดยผู้เข้าชมที่ใช้ AI มีแนวโน้มที่จะซื้อถึง 16% อิทธิพลของ AI จะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นเมื่อผู้ค้าปลีกรายใหญ่ ๆ ผนวกใช้งานอย่างลึกซึ้ง ตัวอย่างเช่น Walmart ได้ร่วมมือกับ OpenAI เพื่อให้สามารถช็อปปิ้งผ่าน ChatGPT ได้ และ Target ก็ประกาศความร่วมมือในรูปแบบเดียวกัน ช่วยให้สามารถช็อปปิ้งเต็มรูปแบบผ่าน ChatGPT รวมถึงการซื้ออาหารสด หลายรายการ และตัวเลือกการจัดส่งที่ยืดหยุ่น ด้วยบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ AI การใช้งานอย่างรับผิดชอบจึงเป็นสิ่งสำคัญ เบนาบัสเตือนว่า ระบบ AI มักเน้นเป้าหมายที่มนุษย์กำหนดไว้ ซึ่งโดยทั่วไปคือการสร้างความสนใจหรือกำไรมากกว่าการดูแลสุขภาพทางการเงินระยะยาวของผู้บริโภค ซึ่งอาจทำให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อคำแนะนำของ AI เกี่ยวข้องกับค่าคอมมิชชั่นหรือสินค้าที่ได้รับการสนับสนุน นักวิเคราะห์แนะนำให้ใช้ AI เป็นเครื่องมือสนับสนุน ไม่ใช่ผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย แนวทางที่ดีคือการใช้ AI เพื่อเปรียบเทียบสินค้าและหาโปรโมชั่น แต่ให้ทำการเลือกสุดท้ายด้วยตัวเอง ระวังอคติจากการสนับสนุนทางการเงินหรืออัลกอริธึมที่ไม่โปร่งใส คิดให้ดีว่าคำแนะนำของ AIสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวของคุณหรือไม่ เนื่องจาก AI ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในอนาคตทางการเงินของคุณ และควรรออย่างมีสติ ก่อนจะลงมือซื้อสิ่งที่ AI แนะนำ โดยเฉพาะของใหญ่หรือของอารมณ์ ซึ่งการตัดสินใจทางการเงินที่ดีควรมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ แม้ AI จะทำงานได้รวดเร็ว การพักคิดก่อนตัดสินใจเพื่อให้แน่ใจว่าการใช้จ่ายเป็นไปอย่างรอบคอบ ก็เป็นแนวทางที่ฉลาดด้วยเช่นกัน
- 1